ยุโรปเป็นทวีปที่มีพื้นที่ทั้งหมดอยู่ในซีกโลกเหนือ มีชายฝั่งทะเลที่เว้าแหว่งมาก ทำให้ได้รับอิทธิพลทะเลเกือบทั้งหมด จึงเป็นทวีปที่ไม่มีลักษณะแห้งแล้งแบบทะเลทราย ความเหมาะสมของภูมิอากาศประกอบกับความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรและความขยันหมั่นเพียรของประชากร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวผิวขาว ทำให้ยุโรปเป็นทวีปที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้ายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคมวัฒนธรรมยุคใหม่
ลักษณะทั่วไป
คำว่า “ยุโรป” เชื่อว่ามาจากภาษาแอสซีเรียนว่า “เอเรบ” (Ereb) หมายถึง ดินแดนแห่งดวงอาทิตย์ตก ซึ่งเป็นภาษาโบราณของชาวเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
ยุโรป เป็นทวีปที่มีขนาดเล็กเป็นอันดับ 2 รองจากทวีปออสเตรเลีย เป็นทวีปที่มีพื้นแผ่นดินติดต่อเป็นผืนเดียวกับทวีปเอเชีย คล้ายเป็นคาบสมุทรหนึ่งของทวีปเอเชีย จึงมีชื่อเรียกรวมกันว่า ยูเรเชีย (Eruasia)
อยู่ในซีกโลกเหนือค่อนไปทางขั้วโลกเหนือ ไม่มีดินแดนส่วนใดอยู่ใต้เส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์ มีโครงสร้างทางธรณีวิทยาของเปลือกโลกตั้งแต่ยุคหินเก่าแก่ที่สุด ได้แก่ บอลติกชีลด์ (Baltic Shield) เทือกเขาเชอเลน จนถึงหินยุคใหม่ที่สุด คือ เขตเทือกเขาทางตอนใต้ เช่น เทือกเขาพีเรนีส, เทือกเขาแอลป์, เทือกเขาแอปเพนไนน์ในคาบสมุทรอิตาลี, เทือกเขาไดนาริกแอลป์ , เทือกเขาคาร์เปเทียนในคาบสมุทรบอลข่าน
ที่ตั้งและขนาดพื้นที่
ยุโรปตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือค่อนไปทางขั้วโลกเหนือ ระหว่างประมาณละติจูด 36-71 องศาเหนือ กับลองจิจูด 9 องศาตะวันตก ถึง 66 องศาตะวันออก มีพื้นที่ประมาณ 10 ล้านตารางกิโลเมตร โดยมีประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ รัสเซีย (17,134,678 ตารางกิโลเมตร) และประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุด คือ ซานมารีโน (61 ตารางกิโลเมตร) ยกเว้นนครวาติกัน มีพื้นที่ 0.44 ตารางกิโลเมตร)
อาณาเขต
1.ทิศเหนือ ติดต่อกับมหาสมุทรอาร์กติก และน่านน้ำทางตอนเหนือ ได้แก่ ทะเลขาว ,ทะเลคารา, ทะเลแบเรนต์ส ซึ่งเป็นเขตที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจน้อยมาก เพราะในฤดูหนาวมีน้ำแข็งปกคลุมใช้เดินเรือไม่ได้ มีคาบสมุทรที่สำคัญ คือ คาบสมุทรสแกนดิเนเวีย, คาบสมุทรจัตแลนด์, คาบสมุทรโคลา
2.ทิศตะวันออก ติดต่อกับทวีปเอเชีย โดยมีเทือกเขาอูราล, แม่น้ำอูราล, ทะเลสาบแคสเปียน แบ่งยุโรปกับเอเชียออกจากกัน
3.ทิศใต้ติดต่อกับทวีปเอเชีย โดยมีเทือกเขาคอเคซัส และทะเลดำ, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คั่นระหว่างทวีปยุโรปกับแอฟริกา มีคาบสมุทรและช่องแคบที่สำคัญคือ คาบสมุทรไอบีเรีย, คาบสมุทรอิตาลี, คาบสมุทรบอกข่าน, คาบสมุทรไครเมีย, ช่องแคบยิบรอลตา, ช่องแคบบอสฟอรัส, ช่องแคบดาร์ดะเนลส์ มีเกาะที่สำคัญคือ เกาะชิชิลี, เกาะซาร์ดิเนีย, เกาะคอสตาริกา, เกาะคริตและเกาะไซปรัส
4.ทิศตะวันตก ติดต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติก มีทะเลที่สำคัญ คือ ทะเลเหนือ ทะเลนอร์วีเจียน, อ่าวบิสเคย์ มีเกาะที่สำคัญ คือ เกาะบริเตนใหญ่, เกาะไอร์แลนด์, เกาะไอซ์แลนด์
ทวีปยุโรป แบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาค
4.1.ยุโรปเหนือ ได้แก่ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน เอสโทเนีย แลตเวียและลิธัวเนีย
4.2.ยุโรปตะวันตก ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี ลิกเตนสไตน์ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร
4.3.ยุโรปตะวันออก ได้แก่ เบลารุส บัลแกเรีย สาธารณรัฐเช็ก ฮังการี มอลโดวา โปแลนด์ โรมาเนีย สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และ ยูเครน
4.4.ยุโรปใต้ ได้แก่ แอลเบเนีย อันเดอร์รา บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา โครเอเชีย กรีซ อิตาลี แมซิโดเนีย มอลตา โปรตุเกส ซานมารีโน สโลวีเนีย สเปน และยูโกสลาเวีย
4.5.ดินแดนที่เป็นรัฐอิสระที่ตั้งอยู่ในประเทศอื่นอีก 2 รัฐ คือ นครรัฐวาติกา ตั้งอยู่ในกรุงโรมประเทศอิตาลี และโมนาโก ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในประเทศฝรั่งเศสใกล้พรมแดนอิตาลี)
ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรม
ประชากร ประชากรของทวีปยุโรปประกอบด้วยหลายเชื้อชาติ หลายภาษา
1. เชื้อชาติ เป็นกลุ่มผิวขาว แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม
1.1 กลุ่มดอร์ดิก เป็นกลุ่มคนผิวขาวที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรป โดยเฉพาะประเทศรอบๆ ทะเลเหนือ มีรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้า กะโหลกศีรษะยาว
1.2 กลุ่มเมดิเตอร์เรเนียน เป็นกลุ่มคนผิวขาวที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป มีรูปร่างเล็ก ผิวคล้ำ ผมดำ นัยน์ตาสีฟ้า กะโหลกศีรษะกลม
1.3 กลุ่มแอลไพน์ เป็นกลุ่มคนผิวขาวในยุโรปตะวันออกและยุโรปกลาง มีรูปร่างเตี้ย ล่ำ ผมสีน้ำตาล กะโหลกศีรษะกลม
2. ภาษา ภาษาในทวีปยุโรปเป็นตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
2.1 กลุ่มภาษาเยอร์มานิก เป็นภาษาของประชากรในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร บางส่วนของสวิตเซอร์แลนด์และเบลเยียม
2.2 กลุ่มภาษาโรแมนซ์ หรือภาษาละติน เป็นภาษาของประชากรในประเทศอิตาลี สเปน ฝรั่งเศส โปรตุเกส โรมาเนีย
2.3 กลุ่มภาษาสลาวิก เป็นกลุ่มของประชากรในประเทศตอนกลางและตะวันออกของยุโรป คาบสมุทรบอลข่าน ลัตเวีย ลิทัวเนีย เบลารุส มอลโดวา ยูเครน รัสเซีย
3. ศาสนา ชาวยุโรปนับถือศาสนาคริสต์ มี 3 นิกาย
3.1 นิกายโรมันคาทอลิก เป็นศาสนาของกลุ่มประชากรผู้ใช้ภาษาโรแมนซ์หรือภาษาละติน ยกเว้นโรมาเนีย ประชากรนับถือนิกายออร์โธดอกซ์ ประชากรกลุ่มภาษาอื่น เช่น ไอร์แลนด์ เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย เช็ก สโลวัก ฯลฯ
3.2 นิกายโปรเตสแตนต์ เป็นศาสนาของกลุ่มประชากรในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร
3.3 นิกายออร์โธดอกซ์ เป็นศาสนาของประชากรในประเทศคาบสมุทรบอลข่านและยุโรปตะวันออก เช่น กรีซ บัลแกเรีย มาซิโดเนีย ยูโกสลาเวีย โรมาเนีย รัสเซีย ยูเครน ฯลฯ
4. การศึกษา ยุโรปเป็นทวีปที่ประชากรมีการศึกษาดีกว่าทุกทวีป มีมหาวิทยาลัยที่จัดขึ้นอย่างเป็นระบบเมื่อประมาณ 700-800 ปี เช่น มหาวิทยาลัยโบโลนญาในอิตาลี มหาวิทยาลัยปารีสในฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์ในอังกฤษ
5. การกระจายและความหนาแน่นของประชากร ยุโรปมีประชากรทั้งหมดประมาณ 728 ล้านคน (พ.ศ. 2541) มีจำนวนประชากรมากเป็นลำดับที่ 3 ของโลกรองจากเอเชียและแอฟริกา มีอัตราความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ยประมาณ 31.6 คนต่อตารางกิโลเมตร มากเป็นอันดับที่ 2 รองจากเอเชีย
บริเวณที่มีประชากรหนาแน่น คือ บริเวณภาคกลางและภาคตะวันตกของทวีป เพราะเป็นเขตอุตสาหกรรม อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธาตุ ได้แก่ ถ่านหินและเหล็ก มีพื้นดินอุดมสมบูรณ์ มีภูมิอากาศเหมะสมแก่การเกษตรกรรม และตอนเหนือของอิตาลี เขตทะเลสาบในสวีเดน ภาคตะวันตกของคาบสมุทรไอบีเรีย
บริเวณที่มีประชากรเบาบาง คือ บริเวณคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ฟินแลนด์และตอนเหนือสุดของทวีป ภาคตะวันออก ภาคกลางและภาคใต้ที่เป็นเขตเทือกเขา
อาชีพและทรัพยากร
1. การเพาะปลูก เขตเพาะปลูกอยู่ในยุโรปตะวันตก ภาคตะวันออกและภาคใต้ของอังกฤษ ภาคเหนือและภาคตะวันตกของฝรั่งเศส ตอนเหนือของเยอรมนี ยูเครน พืชที่สำคัญคือ
- ข้าวสาลี ปลูกได้มากที่สุดคือ ยูเครน รองลงไปคือ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน โรมาเนีย บัลแกเรีย เยอรมนี ฮังการี
- ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ถั่ว มันฝรั่ง ปลูกได้โดยทั่วไป
- องุ่น ส้ม มะกอก มะนาว แอปเปิลและผลไม้ชนิดต่างๆ ปลูกได้มากเขตอากาศแบบเมดิเตอร์เนียน ได้แก่ประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน กรีซ
- ต้นแฟล็กซ์ ใช้ใบทำป่านลินิน ปลูกมากในโปแลนด์ เบลเยียม ไอร์แลนด์
2. การเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงไปตามลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ
- เขตทุนดรา มีการเลี้ยงกวางเรนเดียร์
- เขตทุ่งหญ้าสเตปป์ มีการเลี้ยงโคเนื้อ แพะ แกะ ม้า
- เขตเมดิเตอร์เรเนียน มีการเลี้ยงโคเนื้อ และแกะ
- เขตภูเขาสูง และที่ราบสูง มีการเลี้ยงโคเนื้อ โคนม แกะ
- เขตอบอุ่นชื้นตอนเหนือของคาบสมุทรบอลข่าน มีการเลี้ยงสุกรด้วยข้าวโพด
- เขตภาคพื้นสมุทรชายฝั่งตะวันตก มีการทำฟาร์มโคนม
3. การทำป่าไม้ พบมากในประเทศฟินแลนด์ สวีเดน รัสเซีย นอร์เวย์ ในบริเวณป่าสน ซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน นำมาผลิตเป็นเยื่อกระดาษ
4. การประมง แหล่งประมงที่สำคัญ ได้แก่
- ทะเลเหนือ โดยเฉพาะบริเวณที่กระแสน้ำอุ่นแอตแลนติกเหนือบรรจบกับกระแสน้ำเย็นกรีนแลนด์ตะวันออก เกิดเป็นแหล่งที่มีปลาชุกชุมมากแห่งหนึ่งของโลกเรียกว่า ดอกเกอร์แบงก์ ประเทศที่จับปลาได้มาก สหราชาอาณาจักร ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์
- บริเวณอ่าวบิสเคย์จนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะบริเวณทะเลดำ ทะเลสาบแคสเปียนและแม่น้ำโวลกา มีการจับปลาสเตอร์เจียน มาทำเป็นไข่ปลาคาร์วียร์
5. การทำเหมืองแร่ ยุโรปเป็นทวีปที่มีแร่เหล็กและถ่านหินอุดมสมบูรณ์
5.1 ถ่านหิน แหล่งสำคัญอยู่ทางภาคเหนือของสหราชอาณาจักร ภาคกลางของเบลเยียม ลุ่มแม่น้ำรูห์ของเยอรมนี ภาคใต้ของโปแลนด์ ภาคเหนือของเช็ก สโลวัก ยูเครน ไซบีเรียของรัสเซีย
5.2 เหล็ก แหล่งสำคัญคือ
- แหล่งคิรูนาและเยลีวาร์ทางตอนเหนือของสวีเดน
- แหล่งคริวอยร็อกในยูเครน
- แหล่งลอเรนซ์ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส
5.3 น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ แหล่งสำคัญของยุโรปอยู่ในบริเวณทะเลเหนือ และรอบๆทะเลสาบแคสเปียน
5.4 บอกไซต์ เมื่อนำถลุงแล้วได้อะลูมิเนียม แหล่งผลิตสำคัญอยู่ทางภาคใต้ของฝรั่งเศส ยูโกสลาเวีย ฮังการี เทือกเขาอูราลในรัสเซีย
5.5โพแทช ใช้ในอุตสาหกรรมปุ๋ยและสบู่ แหล่งผลิตอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน รัสเซีย
6. อุตสาหกรรม ยุโรปได้ชื่อว่าเป็นทวีปอุตสาหกรรม เพราะเกือบทุกประเทศประชากร ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม แหล่งอุตสาหกรรมส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปตะวันตก เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ส่วนยุโรปตะวันออกอยู่ใน รัสเซีย ยูเครน เบลารุส
7. การค้าขาย เนื่องจากยุโรปความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ทำให้ยุโรปมีการติดต่อค้าขายกับภูมิภาคอื่นและมีการตั้งกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น
- สหภาพยุโรป (EU-European Union)
- สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA-European Free Trade Association) ตลาดการค้าขายระหว่างประเทศ ได้แก่ ประเทศต่างๆที่อยู่ในยุโรปและประเทศอเมริกาเหนือ
8.การคมนาคมขนส่ง ยุโรปเป็นทวีปที่มีการคมนาคมขนส่งเจริญก้าวหน้ามาก
8.1 ทางรถยนต์ มีทางหลวงเชื่อมระหว่างเมือง เขตอุตสาหกรรมและประเทศต่างๆ มีระยะทางยาวประมาณ 1 ใน 5 ของทางรถยนต์ของโลก
8.2 ทางรถไฟ ทวีปยุโรปมีทางรถไฟยาว 1 ใน 3 ของทางรถไฟในโลก ประเทศที่มีทางรถไฟยาวเมื่อเฉลี่ยต่อเนื้อที่แล้วมากที่สุด คือ เบลเยียม รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ เมืองที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟคือ ปารีส ลอนดอน เบอร์ลิน วอร์ซอ มอสโก
8.3 ทางอากาศ แต่ละประเทศต่างก็มีสายการบินเป็นของตนเอง ใช้ติดต่อระหว่างเมืองภายในประเทศ ระหว่างประเทศ และระหว่างทวีป ศูนย์กลางการบินส่วนใหญ่เป็นเมืองหลวงของแต่ละประเทศ
8.4 ทางน้ำ แม่น้ำสำคัญที่ใช้ในการคมนาคมขนส่งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ได้แก่ แม่น้ำไรน์ แม่น้ำเซน แม่น้ำดานูบ แม่น้ำโวลกา แม่น้ำโอเดอร์ และมีการขุดคลองเพื่อการคมนาคม เช่น คลองคีล ในเยอรมนี เชื่อมระหว่างทะเลบอลติกกับทะเลเหนือ คลองมีดีในฝรั่งเศสเชื่อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรแอตแลนติก
http://www.bp-smakom.org/BP_School/Social/Eruope.htm
เที่ยวทางน้ำในอิตาลี
เมืองเวนิส
น้ำพุเทรวี่ จุดกำเนิดของเสียงเพลง “ทรีคอยน์ออฟเดอร์ฟาวด์เท่น” ที่โด่งดัง ชมความสวยงามของงานประติมากรรมหินอ่อนแบบบาร็อค ซึ่งเป็นเรื่องราวของเทพมหาสมุทร ตามตำนานกล่าวไว้ว่าหากใครได้มาถึงน้ำพุแห่งนี้แล้วโยนเหรียญอธิษฐานทิ้งไว้จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง
เดินเล่นหรือเลือกซื้อสินค้าต่างๆ ที่ย่าน บันไดสเปน แหล่งพักผ่อนของชาวอิตาลีซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ
จัตุรัสแคมโป สถานที่ตั้งของ หอเอนปิซ่า สิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของโลก สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1174 เป็นสถานที่ตั้งของ หอเอนปิซ่า สิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของโลก สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1174 สถาปัตยกรรมที่งดงามซึ่งในอดีตเคยเป็นสถานที่ที่นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก ศาสตราจารย์กาลิ เลโอ ได้ค้นพบทฤษฎีเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก
เวนิซ เมืองท่องเที่ยวที่ได้รับการกล่าวขานว่าโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก “เมืองที่ใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน”
มีเกาะเล็กใหญ่กว่า 118 เกาะ และมีสะพานเชื่อมมากกว่า 400 แห่ง เดินทางสู่ เกาะซานมาร์โค ศูนย์กลางของนครเวนิซ ผ่านชม สะพานถอนหายใจ ที่เชื่อมต่อระหว่าง “Doge Palace” ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครเวนิซในอดีต อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการปกครองแคว้นในยุคสมัยนั้นอีกด้วย
จัตุรัสเซนต์มาร์ค มีโบสถ์เซนต์มาร์คเป็นฉากหลัง สร้างด้วยสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ ช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองของเวนิซ เครื่องแก้วมูราโน่ ต้นตำรับของการเป่าแก้วของชาวมูราโน่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะมาตั้งแต่บรรพชน โดยเครื่องแก้วแต่ละชิ้นมีรูปแบบ และคุณภาพเป็นที่ยอมรับจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ล่องเรือกอนโดล่า (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที) เพื่อชมมนต์เสน่ห์แห่งนครเวนิซ สู่ คลองใหญ่ Grand Canal คลองที่กว้างที่สุดของเกาะ และงานก่อสร้างที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะด้านสถาปัตยกรรม ที่ สะพานเรียลอัลโต้
http://travel.thaiza.com
เมืองเวโรนา
เวโรนา (อังกฤษ: Verona) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเวโรนา แคว้นเวเนโตในประเทศอิตาลี เวโรนาเป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองหลวงของ ทางตอนเหนือของอิตาลี เวโรนาเป็นสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยเหตุที่มีความสำคัญทางศิลปะและ วัฒนธรรมที่เห็นได้งานนิทรรศการประจำปีหลายงาน โรงละคร และอุปรากรในโรงละครกลางแจ้งที่สร้างโดยโรมัน
เวโรนาเป็นเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจจากตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ตรงโค้งของแม่น้ำอดิเจ (Adige River) ไม่ไกลจากทะเลสาบการ์ดา ที่ตั้งนี้ทำให้เกิดน้ำท่วมขึ้นหลายครั้งจนกระทั่ง ค.ศ. 1956 เมื่อมีการสร้างอุโมงค์โมริ-ทอร์โบเลที่เป็นทางระบายน้ำ 500 คิวบิคเมตรลงไปในทะเลสาบการ์ดาเมื่อมีความจำเป็น อุโมงค์ลดสถิติน้ำท่วมทุกเจ็ดสิบปีไปเป็นทุกสองร้อยปี
เหตุการณ์ต่างๆในบทละครเรื่องโรมิโอกับจูเลียตของเช็กเสปียร์ล้วนเกิดขึ้นในเมืองหนึ่งของอิตาลีที่ชื่อว่าเวโรนา บ้านจูเลียต บนถนน Capello ( นามสกุล ของจูเลียต ) โรเมโอและจูเลียต (อังกฤษ: Romeo and Juliet) เป็นละครโศกนาฏกรรมประพันธ์โดย วิลเลียม เชกสเปียร์ แต่งในปี ค.ศ. 1595 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลเป็นภาษาไทยและจัดพิมพ์ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2465 เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเรื่องราวความขัดแย้งของสองตระกูล คือ ตระกูล มอนตาคิว และ คาปูเร็ต ในเมืองเวโรนา
เวโรนา(Verona)ประตูสู่อิตาลีเป็นเมืองที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับสองในแคว้นเวเนโตรองจากเวนิสเวโรนาได้รับสมญานามว่า "LITTLE ROMAN" เพราะยังคงสภาพสิ่งก่อสร้างจากสมัยโรมันไว้อย่างสมบูรณ์
ในปี ค.ศ. 2000 องค์การ การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติก็ประกาศให้เวโรนาเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม
http://www.abroad-tour.com/italy/world_heritage/verona.html
ท่องเที่ยวทางน้ำในสวิสเซอร์แลนด์
สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝันของใครหลายๆ คน ที่มาดหมายไว้ว่าไม่วันใดวันหนึ่งจะต้องไปเที่ยวให้ได้ ประเทศเล็กๆแห่งนี้ได้เปรียบประเทศอื่นๆในยุโรปอยู่ไม่น้อยในเชิงของ การท่องเที่ยวเพราะความหลากหลายของภูมิประเทศ ทิวทัศน์ วัฒนธรรม ดินฟ้าอากาศ และอาหารการกิน ทั้งนี้ก็เนื่องจากชนหลายเผ่าพันธุ์ในแถบเทือกเขาแอล์ปรวมตัวกันเป็นสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์เมื่อ 700 กว่าปีที่ผ่านมา
อนุสาวรีย์สิงโต Lion Monument
สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่ง ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปก็คือ อนุสาวรีย์รูปสิงโตหิน เป็นอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ไม่ไกลจากสะพานไม้มากนัก
อนุสาวรีย์สิงโต เป็นอนุสาวรีย์สำหรับทหารสวิสที่ตายในหน้าที่ที่ฝรั่งเศส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวลูเซิร์น สำหรับความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ในหน้าที่ อนุสาวรีย์รูปสิงโตหิน แกะสลักอยู่บนหน้าผา ที่หัวของสิงโตจะมีโล่ ซึ่งมีกากบาทสัญลักษณ์ของสวิสเซอร์แลนด์อยู่
อนุสาวรีย์รูปสิงโตแห่งนี้ออกแบบและแกะสลักโดย ธอร์ วอลเส้น ใช้เวลาแกะสลักอยู่ราว 2 ปี ตั้งแต่ค.ศ.1819-1821 โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารสวิสฯ ในด้านความกล้าหาญ ซื่อสัตย์และจงรักภักดี ที่เสียชีวิตไปในประเทศฝรั่งเศส ระหว่างการต่อสู้ป้องกันพระราชวัง ในคราวปฏิวัติใหญ่ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ.1792 ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เมื่อดูสิงโตตัวนี้ จะเห็นว่าเขาได้แกะสลักอยู่บนหน้าผาหินในลักษณะนอนหมอบ มีหอกปักอยู่กลางหลัง สีหน้าแสดงความเจ็บปวดและเศร้าสร้อย
หอนาฬิกาไซท์กล็อคเค่นทาร์ม
หอนาฬิกาไซท์กล็อคเค่นทาร์ม ที่จะมีการตีบอกเวลาพร้อมบรรดาตุ๊กตากลที่จะเคลื่อนไหวประกอบ
หอนาฬิกา Zytgloggeturm หรือ Zeitglockenturm หอนาฬิกานี้ใช้เป็นประตูเมืองแห่งแรก ของกรุงเบิร์น ในช่วงปี ค.ศ. 1191 ถึง 1256 และเมื่อมีการสร้าง Prison Tower ขึ้น จึงได้เปลี่ยน ไปใช้ Prison Tower เป็นประตูเมืองแทน ในสมัยก่อนนั้นตึกนี้ไม่ได้เป็นนาฬิกาอย่างทุกวันนี้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1530 จึงได้มีการติดตั้งนาฬิกาดาราศาสตร์
ทะเลสาบเจนีวา
ทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในสวิสและมีบางส่วนอยู่ในเขตประเทศฝรั่งเศส มีพื้นที่ 582 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรปกลางรองจากทะเลสาบบาลาต้น ในประเทศฮังการี เป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญคือเมืองเจนีวาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ทะเลสาบเจนีวา มีชื่อในภาษาฝรั่งเศสว่า ทะเลสาบเลมอง
บ่อหมีสีน้ำตาล
บ่อหมีสีน้ำตาล Bear Pit สัญลักษณ์ของกรุงเบิร์น ที่ว่าสัญลักษณ์ของกรุงเบิร์นก็เพราะว่า มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยผู้ครองเบิร์นในยุคนั้นได้ออกล่าสัตว์ สัตว์ตัวแรกที่ล่าได้ คือ หมี จึงได้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่า เบิร์น เบิร์นสามารถอนุรักษ์สัญลักษณ์ และประวัติศาสตร์ความเป็นมาเป็นไปของเมืองได้ดี สวนหมีแห่งนี้ได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2552
เที่ยวทางน้ำในประเทศตุรกี
แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวกว่า 20 ล้านคน เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศตุรกี ประเทศที่มีอารยธรรมผสมผสานกันระหว่างตะวันออกและตะวันตกหรือยุโรปกับมุสลิม ตุรกีจึงเป็นหนึ่งในสิบอัน
ดับประเทศที่น่าท่องเที่ยวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ถ้าชาวอเมริกันให้ความสนใจและเดินทางมาเที่ยวที่นี่ได้ ก็แสดงว่าที่นี่มีความปลอดภัยในด้านชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งๆ ที่อยู่ในภาวะที่ไม่ปกติจากการก่อการร้ายนัก และยังให้ความสนใจเดินทางไปท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม แหล่งโบราณสถานในประวัติศาสตร์ของประเทศมุสลิมมากขึ้นด้วย
นั่นเป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อภาวะการท่องเที่ยวตุรกีเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนมากขึ้น เป็นที่คาดการณ์ว่า แนวโน้มนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทาง “ผ่าน” และ “เที่ยว” ตุรกีในปีนี้เพิ่มขึ้นอีก ชาวมุสลิมตุรกีแตกต่างจากชาวมุสลิมทั่วไป ชาวตุรกีมีความทันสมัยมากขึ้น ผู้หญิงหรือผู้ชายไม่จำเป็นต้องใช้ “ฮิญาบ” หรือผ้าคลุมศีรษะขณะที่ไปทำงาน หรือเด็กๆ จะไปโรงเรียนก็ไม่จำเป็นต้องแต่งกายแบบอาหรับแล้ว เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับ
นโยบายของตุรกี ไม่เพียงแต่จะเป็น มิตรกับกลุ่มประเทศอาหรับ แต่ยังเป็นพันธมิตรได้กับอิสราเอลด้วย จึงพบเห็นชาวอิสราเอลในเมืองทั่วไปแต่ละเมืองมีความเรียบง่ายแบบเอเชีย แต่ก็มีความทันสมัยเป็นชุมชนเมืองนานาชาติรวมอยู่ ถึงวันนี้หลายคนบอกว่าตุรกีเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ “สุเหร่าสีน้ำเงิน” (Blue Mosque) สุเหร่าแห่งนี้มีหอมินาเรสท์ 6 หอ แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1616 หรือกว่า 380 ปีมาแล้ว รอบๆ แกรนด์บาซาร์ยังมี “พระราชวังทอปกาปี” เคยเป็นที่ประทับของสุลต่านแห่งราชวงศ์ออตโตมัน ปัจจุบันจัดให้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ตุรกีมีอีกโลกที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ ย้อนยุคไปสู่โลกของชาวโรมันยุคที่รุ่งเรืองและขยายอาณาจักรครองโลกมาถึงที่นี่ ในอดีตพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander theGreat) ได้เคยนำกองทัพกรีกอันยิ่งใหญ่ขึ้นฝั่งที่เมืองรอบเมืองท่าอีสเมียร์
นครโบราณเอฟิซุส (City of Ephesus) เมืองโบราณที่มีการบำรุงรักษาไว้เป็นอย่างดีที่สุดเมืองหนึ่งเมื่อโรมันเข้าครอบครองก็ได้สถาปนา “เอฟิซุส” ขึ้นเป็นเมืองหลวงต่างจังหวัดของโรมัน ถนนสร้างด้วยหินอ่อนผ่านใจกลางเมืองเก่าที่สองข้างทางเต็มไปด้วยซากสิ่งก่อสร้างเมื่อสมัย 2,000 ปีที่แล้ว
กรุงทรอยหรือโทรจัน ในตำนานของกวีตาบอดเจ้าของมหากาพย์อีเลียดและโอดิสซีที่ชื่อว่า “โฮมเมอร์” เกี่ยวกับตำนานของ “เฮเลนแห่งกรุงทรอย” ต้นเหตุสงครามแห่งกรุงทรอยกองทัพกรีก ต้องลงเรือมุ่งสู่กรุงทรอยเพื่อแย่งชิงเธอกลับมา ที่นี่จึงเป็นเมืองม้าไม้แห่งกรุงทรอยอันโด่งดัง อาวุธอันชาญฉลาดเหตุให้กรุงทรอยแตก
ปามุคคาเล่ (Pamukkale) เป็นเมืองที่มีน้ำพุเกลือแร่ร้อนไหลก่อให้เกิดทัศนียภาพของน้ำตกสีขาวเป็นชั้นๆ หลายชั้น และผลจากการแข็งตัวของแคลเซียมทำให้เกิดเป็นแก่งหินสีขาวราวหิมะขวางทางน้ำเป็นทางยาวซึ่งมีความงดงามมาก
.
คัปปาโดเกีย (Cappadocia) เมืองที่ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลก ดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์แปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหิน และเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงามยังมี นครใต้ดิน (Underground City Of Derinkuyu Or Kaymakli) ซึ่งเป็นที่หลบซ่อนจากการรุกรานของข้าศึกความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมโรมัน-กรีกที่ ยังคงอนุรักษ์ไว้อยู่ที่นี่ ท่ามกลางโลกของมุสลิม...
http://www.marketatnation.com/country/turkey.html
เที่ยวทางน้ำในประเทศฝรั่งเศส
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกันชื่อดังเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร ภายในบรรจุงานศิลป์ อายุ ยาวนานกว่า 11 ศตวรรษ จำนวน ประมาณ 380,000 ชิ้น ทั้งรูปปั้น ภาพวาด อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch และมีเพียงงานปั้นและภาพวาด 30,000 ชิ้น เท่านั้นที่นานๆจะนำออกมาแสดงหากจะย้อนดูความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คงต้องย้อนไปถึง ศตวรรษที่ 12 เมื่อครั้งที่กษัตริย์ ฟิลิปเป้ ออกัสเต้ ได้ก่อสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันกรุงปารีสจากหมู่โจรสลัด โดยจุดที่เลือกก่อตั้งคือริมแม่น้ำเซน ป้อมปราการ และคูคลองยุคกลางยังคงมีให้เห็นในปัจจุบันนี้ต่อมาฟรังเชสที่ 1 ได้รื้อถอน ตึก เก่า แล้วได้สร้างขึ้นใหม่เป็นพระราชวังหลวงและที่พักในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมของฝรั่งเศส ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมสำหรับจัดแสดงของสะสมของกษัตริย์นับแต่นั้นมา นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังเคยเป็นที่จัดงานแต่งของนโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสอีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกและยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส
พระราชวังแวร์ซายส์ (Versaille Palace)
เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วยกิโยตินในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้
โจกุลซาลอน เป็นทะเลสาปธารน้ำแข็ง เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่าเป็นทะสาปธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ ถ้าภาษาชาวบ้านก็ต้องเรียกว่า “สถานที่มีชื่อ” อยู่ทางด้านทิศใต้ตรงปลายทางของธารน้ำแข็งพันปี “วัทนาโจกุล” (glacier Vatnaj?kull) อยู่ระหว่างอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ที่ชื่อว่าสเกฟตาลเฟลล์ (Skeftalfell National Park) และเมืองฮอฟน์ (H?fn) เมืองของชาวประมง ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ โจกุลซาลอน ปรากฏเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วง ค.ศ.1934-1935
และ ค่อย ๆ ขยายตัวเพิ่มพื้นที่ขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏว่าในปี 1975 มีพื้นที่ 7.9 ตารางกิโลเมตร เมื่อธารน้ำแข็งละลายมากขึ้น มากขึ้น ๆ ในทุก ๆ ปี ในปัจจุบันมีกินพื้นที่กว้างถึง 18 ตารางกิโลเมตร โดยมีความลึกของน้ำถึง 200 เมตร คำนวนง่าย ๆ เอาฝรั่งตัวสูง 2 เมตรมายืนต่อกันให้ได้ 100 คน จะได้ความลึกของทะเลสาปแห่งนี้ โจกุนซาลอนจึงได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาปที่ลึกเป็นอันดับสองของไอซ์แลนด์ รองก็แต่ ?skjuvatn ซึ่งเป็นทะเลสาปที่อยู่ตรงปากปล่องภูเขาอาซค์จ้า (Askja) ออกเสียงตามภาษาไทยง่าย ๆ ผู้ชำนาญภาษาก็ออกเสียงกันตามชอบใจ ซึ่งไอ้ทะเลสาปนี้กว้างไม่มากเพราะอยู่ในปากกล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วมีน้ำ อยู่ แต่ลึกหน่อยคือ 220 เมตร
ล่องเรือบาตามูซ (เรือแมลงวัน) ชมสถานที่สำคัญบ้านคู่เมือง สองฝั่งของแม่น้ำแซนน์ โบราณสถาน และอาคารที่เก่าแก่สร้างด้วยศิลปะ แบบเรอเนสซองส์ ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และสร้างภาพให้ปารีสโดดเด่นเป็นมหานครที่งดงามแห่งหนึ่งของโลก อาทิเช่น โบสถ์นอร์ทเทรอดาม สะพานอเล็คซานเดอร์ที่ 3 พระราชวังลูฟท์ ซิตี้ฮอลล์ เทพีสันติภาพขนาดย่อ หอไอเฟิล เป็นต้น
http://www.marketatnation.com/travel